บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่4
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10.30-12.30 ห้อง 224
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา11.30-14.30ห้อง 223
เรียนเนื้อหาทฤษฏี (วันจันทร์) นำเสนองานแต่ละกลุ่ม
เรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวและจังหวะ
- ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
เน้นการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยกฎ 3 ประการ ได้แก่
1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise)
3. กฎแห่งผล (Law of Effects)
- ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget. 1964) อธิบายว่าพัฒนาการทาง สติปัญญาของคนมีลักษณะเดียวกันในช่วงอายุเท่ากันและแตกต่างกันในช่วงอายุต่างกัน
พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม โดยบุคคลพยายามปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลด้วยการใช้กระบวนการดูดซึมและกระบวนการปรับให้เหมาะสมจนทำให้เกิดการเรียนรู้โดยเริ่มจากการสัมผัส
ต่อมาจึงเกิดความคิดทางรูปธรรมและพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดความคิดที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามลำดับ
ทฤษฎีทางด้านสังคม
อิริสันเป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฏีขึ้นในแนวคิดของฟรอยด์
แต่ได้เน้นความสําคัญของทางด้านสังคม
วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจว่ามีบทบาทในการพัฒนาการบุคลิกภาพมาก
ความคิดของอิริสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่าเห็นความสําคัญของEgo มากว่า Id
และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น
แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ด้วยเหตุที่อิริสันเน้นกระบวนการทางสังคมว่าเป็นจุดกระตุ้นหล่อหลอมบุคลิกภาพ
เขาจึงได้เรียกทฤษฎีของเขาว่า เป็นทฤษฏีจิตสังคม
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น
8 ขั้น ดังต่อไปนี้
ขั้นที่
1 ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ
ขั้นที่
2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง
ขั้นที่
3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด
สามขั้นแรกเป็นขั้นพัฒนาการที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย
ขั้นที่
4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์
–
การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม
ขั้นที่
6 ความใกล้ชิดผูกพัน –
ความอ้างว้างตัวคนเดียว
ขั้นที่
7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง
– ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง
อัลเบิร์ต แบนดูรา กล่าวว่า
การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์
อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ
โดยผู้เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบ
และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ
การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ ของตัวแบบ สภาพแวดล้อมของตัวแบบ ผลการกระทำ
คำบอกเล่า และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้
ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 กระบวนการ
1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ (Attentional
Process)
2. กระบวนการคงไว้ (Retention Process)
3. กระบวนการแสดงออก (motor reproduction
process)
4. กระบวนการจูงใจ (Motivational
Process)
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย
- ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์ กีเซลล์
เซลล์
ใช้คำว่าวุฒิภาวะ (maturation) เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลง รูปแบบ (pattern) และรูปร่าง (shape) ของพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากยีนส์ (genes) หรือความพร้อมของกล้ามเนื้อและระบบประสาทจะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
กีเซลล์ (Gesell )กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก
เป็นพฤติกรรมด้านต่าง ๆ สำหรับพัฒนาการทางร่างกายนั้นหมายถึง
การที่เด็กแสดงความสามารถในการจัดกระทำ กับวัสดุ เช่น การเล่น ลูกบอล การขีดเขียน
เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน
ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหว
การทำ งานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย
การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
กีเซลล์
ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1.พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว
2.พฤติกรรมด้านการปรับตัว
3.พฤติกรรมทางด้านภาษา
4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม
- ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ (Jerome S.
Bruner)
ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วย
ลักษณะ 4 ข้อ คือ
1.แรงจูงใจ (Motivation)
2.โครงสร้าง (Structure)
3.ลำดับขั้นความต่อเนื่อง (Sequence)
4.การเสริมแรง (Reinforcement)
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้น คือ
1. ขั้นการกระทำ (Enactive Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic
Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง
และการคิดจากจินตนาการ
3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic
Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง
ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ สิ่งที่พบเห็น
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด
กล่าวว่า
ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองในการคิดหลายทิศทาง
ซึ่งมีองค์ประกอบความสามารถในการริเริ่ม ความคล่องในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด
และความสามารถในการแต่งเติมและให้คำอธิบายใหม่ที่เป็นการติดตามหลักเหตุผลเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้อย่างซับซ้อน กว้างไกล
หลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกนัยซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม
ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่นทความคิดละเอียดลออ
- ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา
หรือสิ่ง
ที่บกพร่องขาดหายไปแล้วรวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น
ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น
ทอร์แรนซ์เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งทางด้านความคิดสร้างสรรค์
ได้สร้างทฤษฎีและแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก
เขากล่าวว่า
ความคิดสร้างสรรค์จะแสดงออกตลอดกระบวนการของความรู้สึกหรือการเห็นปัญหาการรวบรวมความคิดเพื่อตั้งเป็นข้อสมมติฐาน
การทดสอบ และดัดแปลงสมมติฐานตลอดจนวิธการเผยแพร่ผลสรุปที่ได้ความคิดสร้างสรรค์
จึงเปนกระบวนการแก้ ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
และทอร์แรนซ์เรียกกระบวนการลักษณะนี้ว่ากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคค์หรือ “The creative problem solving process”
ขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ออกเป็น
4 ขั้นดังนี้
ขั้นเริ่มคิด
ขั้นครุ่นคิด
ขั้นปรับปรุง
ขั้นเกิดความคิด
เรียนปฏิบัติ (วันพฤหัสบดี)
- เมื่อเข้าห้องไปสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเลยก็คือปั้มใบมาเรียนของวันนี้
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้ดูวีดีโอ เสียตัวเสียใจ และให้ข้อคิดจากวีดีโอที่ให้ดู
- แล้วต่อด้วยการบริหารสมองก่อนเขาสู่การเรียนเพื่อให้ผ่อนคลายไม่เครียด
- หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้จับกลุ่มเป็นรูปครึ่งวงกลม
และให้แต่ละคนคิดท่าการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่คนละหนึ่งท่า
หลังจากที่ทุกคนคิดท่าไว้ในใจแล้ว ก็เริ่มทำท่าที่ตัวเองคิดไว้โดยเริ่มจากอาจารย์
แล้ววนมาทางด้านซ้ายเมื่อถึงใครคนนั้นต้องออกมาหน้าห้อง ทำท่าของตัวเองแล้วให้เพื่อนทำตามซึ่งท่าของแต่ละคนก็มีความยากง่ายแตกต่างกันไป
กว่าจะทำครบทุกคนทุกท่า
ก็ทำให้ทุกคนเริ่มอ่อนหล้า อาจารย์ใจดีปล่อยให้พักเหนื่อย15นาที
แต่ระหว่างการพักนั้น ก็ให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ5คน
ให้คิดท่าการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่คนละ2ท่ารวม5คน ก็เป็น10 ท่าพอดี
- เมื่อครบ 15 นาที่
ของการพักแล้วอาจารย์ก็ให้กลุ่มที่พร้อมแล้วออกไปทำท่าทางให้เพื่อนดู
โดยที่เพื่อนกลุ่มอื่นจะนั่งดู เมื่อทุกกลุ่มทำครบแล้วอาจารย์ก็พูดสรุปกิจกรรมที่ทำในวันนี้
การนำมาประยุกต์ใช้
- นำแนวคิดของนักทฤษฏีเหล่านี้ไปปฏิบัติใช้กับเด็ก
- สอนการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ให้เด็กได้
- ใช้เป็นท่าออกกำลังกายได้ในกรณีที่มีพื้นที่แคบๆได้
การประเมินผล
ประเมินตนเอง
เข้าใจเกี่ยวกับท่าทางของการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ สามารถคิดท่าทางขึ้นมาประกอบกับจังหวะของเพลงได้
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมของอาจารย์ มีความสามัคคีในการทำงาน
ประเมินเมินอาจารย์
อาจารย์เตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี ทำให้การสอนของอาจารย์ไม่น่าเบื่อ อาจารย์แต่งกายเหมาะสมกับวิชาที่สอน พูดจาไพเราะน่าฟัง